การดื่มชาให้อร่อยนั้น นอกจากต้องรู้จักเลือกชนิดของชาแล้ว ขั้นตอนการชงชาเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และพิถีพิถัน จึงจะสามารถลิ้มรสชาติแท้ๆ ของชาได้มากที่สุด โดยมี 5 เทคนิคที่ควรจดจำ ดังนี้

1. ปริมาณใบชา

ประมาณการชงชาในแต่ละครั้งจะมากน้อยเพียงใด ต้องพิจารณาลักษณะของใบชาเป็นหลัก ใบชาในท้องตลาดมีวางขาย 3 แบบ คือ ใบชาแบบกลมแน่น แบบกลมหลวม และแบบเป็นเส้น ใบชากลุ่มที่หนึ่งและสองเมื่อชงกับน้ำร้อนแล้วจะคลายตัวเพิ่มอีก หากใส่มากเกินไปจะทำให้คลายตัวไม่เต็มที่ จนทำให้รสและกลิ่นต่ำกว่ามาตรฐาน ฉะนั้นหากชงด้วยกาน้ำร้อน ควรใส่ชาแบบกลมแน่นเพียง ¼ ของกา ใส่ชาแบบกลมหลวงและชาแบบเส้นในปริมาณ 1/3 ของกา และใส่ชาเขียวและชาขาวในปริมาณ 1/5 ของกา

หากชงด้วยที่กรองชา (Tea Infuser) ใบชาแบบกลมแน่นให้ชงในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 170 มิลลิลิตร ส่วนใบชาแบบกลมหลวงหรือแบบเส้นใช้ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 170 มิลลิลิตร ส่วนชาแบบถุงสำเร็จรูป (Tea Bag) ให้ใช้การชงมาตรฐานทั่วไป ในปริมาณชา 1 ถุง ต่อน้ำ 170 มิลลิลิตร

2. ชนิดของน้ำ

น้ำเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญของการชงชา และมีผลอย่างมากต่อรสชาติของชา น้ำที่เหมาะสำหรับชงชา ควรเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน เช่น น้ำกรอง น้ำต้มสุกที่พักไว้ให้เย็น (ก่อนจะดื่มค่อยต้มซ้ำอีกครั้ง) ที่สำคัญ ไม่ควรใช้น้ำแร่และน้ำกลั่น เพราะมีกลิ่นจากแร่ธาตุและสารเคมี ทำให้รสชาติของชาเพี้ยนได้

3. อุณหภูมิน้ำ

การชงชาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสจากถังต้มน้ำร้อนเสมอไป แต่ต้องปรับอุณหภูมิให้เหมาะกับชนิดของใบชาด้วย หากชงชาดำ ชาอูหลง ชาผลไม้ และชาสมุนไพร ให้ชงด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส จะได้กลิ่นหอมละมุนแบบพอดีๆ ส่วนชาเขียวหรือชาขาวจะชงด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60-70 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนระดับนี้จะช่วยให้ใบชาค่อยๆ ขับสารแทนนินจนได้รสฝาดตามต้องการ การชงด้วยวิธีนี้ไม่เน้นกลิ่นหอม แต่เน้นรสชาติมากกว่า

4. ระยะเวลา

การชงชาปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที ยกเว้นการชงชาขาวที่จะใช้เวลาชงแค่ 2-3 นาที ส่วนชาผลไม้ ชาดอกไม้ หรือชาสมุนไพร จะชงนานประมาณ 5-7 นาที

5. กาน้ำชา

ควรเลือกใช้กาที่ทำจากดินเผา เซรามิก หรือแก้ว ซึ่งช่วยเก็บความร้อนและรักษารสชาติแท้ๆ ของชาไว้อย่างดี สามารถเลือกใช้ได้ตามชอบ และควรอุ่นกาให้ร้อนก่อนชงชาทุกครั้ง

Leave a Reply